จำนวนผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น:
แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย ให้มีจำนวนเท่ากันๆ
กัน นำเชือกเส้นใหญ่ที่มีความเหนียวพอจะทานกำลังของผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายได้ แล้วให้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจับสลากหรือจับไม้สั้นไม้ยาวเลือกแดน
ผู้เล่นจะไปยืนประจำที่ข้างเชือกที่วางกะระยะให้ห่างกัน
พอให้ไม่ชนกันได้ขณะเอนตัวดึงเชือก เมื่อวางระยะดีแล้ว
ผู้เล่นจะดึงเชือกให้สูงพอเอว ผู้ตัดสิน จะไปยืนตรงเส้นศูนย์กลาง
เมื่อผู้ตัดสินให้สัญญาณ ทั้งสองฝ่ายจะลงมือดึงเชือก
พยายามให้อีกฝ่ายหนึ่งลู่ไปทิศทางของตน
แต่ละฝ่ายมีผู้ให้สัญญาณเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงกัน
ผู้ที่อยู่ต้นเชือกและหางเชือกเป็นคนสำคัญยิ่งในระหว่างดึงนั้น
ถ้าผู้ใดเสียหลักยันพื้นไม่อยู่ก็จะเสียกำลัง ความสนุกอยู่ที่ผู้ให้สัญญาณและผู้เล่นที่มีสีหน้าต่างๆ
กัน ถ้าฝ่ายใดดึงให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ลู่ตามไปจนถึงเส้นชัยจะเป็นฝ่ายชนะ
การละเล่นของเด็ก
การเล่นเป็นชีวิตจิตใจของเด็ก
ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบเล่น ไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อนๆ
การเล่นและเด็ก
จึงมีความสัมพันธ์กัน เด็กที่ไม่รู้จักเล่นหรือไม่ชอบเล่นอาจกล่าวได้ว่าผิดธรรมชาติ เป็นเด็กซึ่งไม่สมบูรณ์ทางกายหรือสมอง การเล่นไม่ใช่การใช้เวลาสูญเปล่า แต่เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ในการส่งเสริมความสามารถทางกายจิตใจ และช่วยให้มีสัมพันธ์อันดี ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า "เมื่อไรควรเล่น" การเล่นจะให้ประโยชน์อย่างไร แม้ในบางครั้งก็ยังใช้ "การเล่น" เป็นสื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าวิธีอื่น
การเล่นของเด็กไทยก็มีหลายอย่างที่เหมือนกับเด็กชาติอื่น
และที่แตกต่างเป็นของไทยโดยเฉพาะก็มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติของแต่ละชาติ
เช่น การเล่นซ่อนหาในยุโรปก็มีเล่นกันมาก วิธีเล่นอาจแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย
การเล่นของเด็กในเอเชียที่คล้ายกันได้แก่ หมากเก็บ
ในอินเดียวและฟิลิปปินส์ก็มีแต่วัสดุที่นำมาเล่นต่างกัน ดังนี้เป็นต้น
การละเล่นของเด็กไทยที่จะนำมากล่าวถึงจะเป็นเพียงตัวอย่างที่เลือกมาจากที่เล่นกันอยู่ในสมัยโบราณ
เฉพาะที่มีคุณค่า
ในการพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ การเล่นบางอย่างยังยืนยงมาถึงปัจจุบัน บางอย่างก็หมดไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแทนที่ เพราะเด็กขาดความอิสระเสรีในการเล่นพ่อแม่ ครูเข้า มามีบทบาทในการกำหนด การเล่นของเด็กมากขึ้น การเล่นแบบเดิมนี้จึงควรอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติวัฒนธรรมของไทย ให้เด็กรุ่นหลังได้รู้จัก และเพื่อศึกษาลักษณะสังคมไทยในสมัยนั้น ๆ |
|
การละเล่นของเด็กและผู้ใหญ่
ชักเย่อ ลูกช่วง
งูกินหาง โค้งตีนเกวียน จ้ิองเด ไม้หึ่ง รีรีข้าวสาร สะบ้า แม่ศรีคล้องช้าง ว่าว
ชักเย่อ
ผู้เล่นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
มีจำนวนเท่ากัน (นอกจากจะตกลงกันเป็นพิเศษ เช่น ฝ่ายหนึ่งชายฝ่ายหนึ่งหญิง
จะให้ชายมีจำนวนน้อยกว่าหญิงก็ได้)
วิธีเล่น
นำเชือกเส้นใหญ่ที่มีความแข็งแรงพอจะทานกำลังผู้เล่นทั้งสองฝ่ายที่จะดึงเชือกนั้นมาวาง
มีเส้นเขตกลาง ซึ่งจะวางเชือกให้กึ่งกลางตรงเส้นพอดี
แล้วให้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจับสลาก หรือไม้สั้นไม้ยาว
ว่าใครจะอยู่ด้านไหนเมื่อได้สลากแล้วผู้เล่นจะไปยืนประจำที่ข้างเชือกที่วาง
กะระยะให้ห่างกัน พอให้ไม่ ชนกันได้ขณะเอนตัวดึงเชือก เมื่อวางระยะดีแล้ว
ผู้เล่นจะดึงเชือกให้สูงพอเอว ผู้ตัดสินจะไปยืนตรงเส้นเขตกลาง
(ซึ่งเป็นเส้นชัยด้วย) เมื่อผู้ตัดสินให้สัญญา-ณ
ทั้งสองฝ่ายจะลงมือดึงเชือกพยายามให้อีกฝ่ายหนึ่งลู่ไปในทิศทางของตนแต่ละฝ่ายมีผู้ให้สัญญาณเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงกัน
ผู้ที่อยู่ต้นเชือกและหางเชือกเป็นคนสำคัญ ยิ่งในระหว่างดึงนั้น
ถ้าผู้ใดเสียหลักยันพื้นไม่อยู่ก็จะเสียกำลัง
ความสนุกอยู่ที่ผู้ให้สัญญาณและผู้เล่นที่มีท่าทางสีหน้าต่างๆ กัน
การแพ้ชนะอยู่ที่ฝ่ายไหนสามารถดึงอีกฝ่ายหนึ่งให้ลู่ตามไปถึงเส้นชัยจะเป็นฝ่ายชนะ
การเล่นชนิดนี้ฝึกความพร้อมเพรียง ความอยู่ในระเบียบวินัย การทรงตัวและ
ออกกำลังกายทั้งแขนและขา
การละเล่นแบบนี้ในภาคเหนือเรียกว่า
"ยู้ส้าว"
มีวิธีการเล่นเหมือนกันกับภาคกลางแต่ภาคเหนือมีคำร้องประกอบด้วย
ลูกช่วง
แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายเท่า
ๆ กัน อุปกรณ์การเล่น ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ห่อเอาหญ้าแห้งหรือวัตถุนิ่ม ๆ
ให้เป็นลูกกลม ๆผูกชายไว้ ยาวพอจะโยนได้
วิธีเล่น แบ่งเขตผู้เล่นเป็น ๒
ฝ่าย ยืนห่างกันพอสมควร เริ่มต้นโยนลูกไปให้อีกฝ่ายหนึ่งรับ ถ้ารับได้ก็มีสิทธิ์ที่จะปาให้ถูกตัวคนใดคนหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม
ถ้าปาไม่ถูกก็พับไปต้องโยนกลับไปให้ฝ่ายตรงข้ามให้เป็นผู้รับถ้าปาถูกคนไหนคนนั้นต้องไปเป็นเชลยอีกฝ่ายหนึ่งเล่นสลับกันดังนี้ต่อไปจนเหนื่อยฝ่ายไหนได้เชลย
มากฝ่ายนั้นชนะ
การเล่นชนิดนี้ฝึกความสังเกต ความว่องไวและความรับผิดชอบ
ภาคอีสานและภาคใต้มีการเล่นคล้ายกัน ต่างกันที่การโยนลูกช่วงนั้น
ผู้โยนลูกช่วงเป็นผู้ขี่คอคนซึ่งสมมุติเป็นม้า
การเล่นชนิดนี้ภาคอีสานเรียกว่า "ม้าหลังโปก" ภาคใต้เรียกว่า
"ขี่ม้าโยนรับ""ขี้ม้าโยนผ้า" ความสนุกอยู่ที่การ
หลอกล่อของคนและม้าตอนรับกัน ถ้าลูกตกม้าเก็บได้ก็อาจทำพยศให้คนตกเป็นต้น
งูกินหาง
วิธีเล่น ให้คนหนึ่งเป็นพ่องู
อีกคนหนึ่งเป็นแม่งู พ่องูยืนหันหน้าเข้าหาแม่งู นอกนั้นเป็นลูกงูจับเอวกันเป็นแถวยาว
ความยาวของลูกงูนั้นขึ้นอยู่กับจำนวน
ของผู้เล่น ในการเล่นมีบทพูดโต้ตอบกัน
ดังนี้
พ่องู : แม่งูเอ๋ย
แม่งู : เอ๋ย (ลูกงูช่วยตอบ)
พ่องู : กินน้ำบ่อไหน
แม่งู : กินน้ำบ่อโศก
ลูกงู : โยกไปก็โยกมา
(แม่งูและลูกงูโยกตัว ขยายแถวทั้งแถว)
พ่องู : แม่งูเอ๋ย
แม่งู : เอ๋ย
พ่องู : กินน้ำบ่อไหน
แม่งู : กินน้ำบ่อทราย
ลูกงู : ย้ายไปก็ย้ายมา
(วิ่งทางซ้ายทีขวาที)
พ่องู : กินน้ำบ่อไหน
แม่งู : กินน้ำบ่อหิน
ลูกงู : บินไปก็บินมา
(ทำท่าบินแล้วจับเอวต่อ)
พ่องู : หุงข้าวกี่หม้อ
แม่งู : ..... หม้อ (เท่ากับจำนวนลูกงูกับแม่งู)
พ่องู : ขอกินหม้อได้ไหม
ลูกงู : ไม่ได้
พ่องู : ตำน้ำพริกกี่ครก
แม่งู : ..... ครก
พ่องู : ขอกินครกได้ไหม
ลูกงู : ไม่ได้
พ่องู : ทอดปลาทูกี่ตัว
แม่งู : …….. ตัว
พ่องู : ขอกินตัวได้ไหม
ลูกงู : ไม่ได้
พ่องู : กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว
แม่งู : กินหางตลอดหัว
พ่องูจะไล่จับลูกงูจากปลายแถวขึ้นมาหัวแถว
แม่งูต้องพยายามป้องกันไม่ให้พ่องูเอาลูกงูไปได้โดยการกางมือกั้น
แล้วลูกงูต้องคอยวิ่งหนีแต่ต้องระวังไม่ให้ แตกแถว
เมื่อจับลูกงูได้พ่องูจะถามลูกงูว่า
พ่องู : อยู่กับพ่อหรืออยู่กับแม่
ลูกงู : อยู่กับแม่
พ่องู : ลอยแพไป
พ่องู : หักคนจิ้มน้ำพริก
พ่องูก็จะจับลูกงูให้ออกจากการเล่นไปอยู่เช่นนี้จนจับได้หมด
ถ้าตอบว่า "กินกลางตลอดตัว" พ่องูจะจับลูกงูตัวแรกในบริเวณกลางลำตัว
ต่อ ๆ ไปก็เลือกจับตามใจชอบ
ลูกงูต้องหลบหลีกให้ดี
ถ้าแม่งูตอบว่า กินหัวตลอดหาง พ่องูต้องพยายามปล้ำกับแม่งูให้แพ้ชนะให้ได้
แล้วจับลูกตั้งแต่หัวแถงลงไปจนหมด เป็นอันจบเกม
การเล่นชนิดนี้
นอกจากให้ความสนุกสนานแล้วยังเป็นการฝึกภาษา
ถ้าเป็นการเล่นของเด็กจะมีเพียงบทโต้ตอบดังกล่าวเพื่อเป็นการเรียนรู้ในการสื่อสารในเรื่องความหมายของกริยาต่างแต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะใช้บทร้องพระนิพนธ์ของ
สมเด็จ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ในบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องอิเหนาตอนเสี่ยงเทียนให้เด็กร้องที่หน้าวิหารเพียง ๒
บท ต่อไปนั้นผู้เล่นก็จะใช้ปฏิภาณ
ในการโต้ตอบจนพอใจจึงจะวิ่งไล่จับกัน
"
แม่งูเอ๋ยเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา
ไปกินน้ำหนากลับมาเมื่อตะกี้
กินน้ำบ่อไหนบอกไปให้ถ้วนถี่
จะบอกประเดี๋ยวนี้
บอกมาซีอย่าเนิ่นช้า
ไปกินน้ำเอย
ไปกินน้ำบ่อหิน (ซ้ำ)
บินไปก็บินมา
ฉันรักเจ้ากินรา
ิ บินมาบินไปเอย"
พ่องูจะถามซ้ำ
แม่งูจะตอบว่าไปกินน้ำบ่ออื่นๆ ร้องให้รับกัน การเล่นในภาคเหนือเรียกว่า
"งูสิงสาง" วิธีเล่นคล้ายกัน
แต่ไม่มีพ่องููแม่งูคนหนึ่งจะขุดดินคนที่เหลือ
จับเอวกันเป็นงู ฝ่ายที่เป็นงูเดินไปรอบ ๆ
แล้วมีการโต้ตอบกันระหว่างคนขุดดินกับงูเป็นภาษาเหนือล้อเลียนกันตอนแรกงูถามว่าขุดอะไร
ขอบ้าง (อ้างชื่อของใน
ดิน เช่น แห้ว มัน)
ต่อมาคนขุดดินของงูบ้างงูไม่ให้ บอกให้ไล่จับเอา
คังตีนเกวียน
โค้งตีนเกวียน หรือระวงตีนเกวียน
(ภาคอีสาน)
วิธีเล่น ในภาคอีสานจะแบ่งคนเล่นเป็นสองพวก
พวกหนึ่งยืน พวกหนึ่งนั่งสลับกันไปพวกที่นั่งเอาเท้ายันกันไว้
มือจับคนยืนจับกันเป็นรูปวงกลม พวกยืน เดินไปรอบ ๆ พวกนั่งยกกับพ้นพื้นหมุนไปรอบ
ๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งทำมือหลุดเป็นฝ่ายแพ้ ต้องเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายยืน
การเล่นชนิดนี้ภาคกลาง
เรียกว่า "หมุนนาฬิกาหรือทอดกระทะ เป็นการเล่นฝึกการทรงตัว
ความพร้อมเพรียงและความอดทน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น